primer ตัวนี้ก็ถือเป็นอีกตัวหนึ่งนะคะที่อยู่ในกลุ่มที่แบบว่า ต้องเห็น (หรือต้องใช้ในกรณีนี้) ถึงจะเชื่อว่าดีจริง มันทำงานแตกต่างจาก primer ตัวอื่น ๆ ที่เราเคยใช้มามาก คือมันจะเห็นทันตาและรู้สึกทันทีเลยว่าทาแล้วรูขุมขันกว้างมันหดยุบทันที – อันนี้ไม่ล้อเล่นนะเนี่ยะ

เรามีตัวนี้ในขนาด sample size ที่ได้มาจาก Sephora (100 point perks) เราใช้มาได้ซัก 2 – 3 อาทิตย์แล้วแต่ว่าก็ยังมีเหลือเยอะอยู่เลยในหลอด ถึงจะขนาดจิ๋วแต่เขาก็ให้มาเยอะเหมือนกันนะ ตัวนี้ Becca บอกว่ากันเหงื่อ กันความชื้น และช่วยกำจัดความมันส่วนเกินและทำให้ผิวหน้า matte ได้นานถึง 12 ชม. นอกจากนี้ก็ยังไม่มีส่วนผสมของ silicone, oil, alcohol และ น้ำหอม (แต่ตัวนี้มีส่วนผสมของ Methylparaben นะคะ)
ตอนเราได้มาเราก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะทำงานดีเว่อร์อะไรหรอกค่ะ ก็แหม primer ตัวไหน ๆ ก็บอกเหมือนกันแหละว่า ทำโน่นได้ดี ทำนี่ได้ดี ดีอย่างงั้นดีอย่างงี้ พอเอามาใช้จริง ๆ ก็ไม่เห็นจะดีเหมือนที่บอกเลย แต่ว่าของ Becca ตัวนี้ ขอบอกค่ะ มันทำได้อย่างที่อ้างจริง ๆ คือมันทำให้ผิว matte ได้แบบว่า จะ matte ไปไหน! ตอนเราใช้ครั้งแรกนะ เราถึงกับตกใจ เฮ้ย matte ไปมั้ยเนี่ย! มัน matte สุด ๆ จริง ๆ ค่ะ มันคล้าย ๆ กับว่าพวกความมันส่วนเกินที่อยู่ตามรูขุมขนเนี่ยะ มันถูกดูดเอาออกมาหมดเลย และรูขุมขนมันก็แคบลงแบบทันตาเห็น มันเหมือนกับแบบว่าพวก oil ต่าง ๆ ที่อยู่ข้างในมันโดนสูบออกไปหมดเลยน่ะค่ะ ผลก็คือรูขุมขุนจะดูเล็กลง กระชับขึ้น และผิวบริเวณที่ทาก็จะ matte สนิท!
ตัวเนื้อ primer นั้นจะออกประมาณคล้าย ๆ กับพวก silicone primer ทั่วไป (แต่ตัวนี้ไม่มี silicone เป็นส่วนผสมนะ อย่างที่บอก) ไม่มัน และสีจะออกประมาณครีม ๆ ตอนจับ ๆ ครั้งแรกมันจะรู้สึกหนา ๆ หน่อยแล้วก็เหนียวนิดนึง แต่ว่าพอทาลงไปบนผิวแล้วแทบไม่รู้สึกเลยค่ะ เบามาก ตัวนี้แห้งแล้วก็จะกลายเป็น clear ไม่เห็นเป็นสีหรืออะไร และตัวนี้จะแห้งเร็วมาก! แล้วแถมพอแห้งแล้วที่นี้ไม่ขยับแล้ว set อยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นเลย ตอนเราใช้เราก็จะทาแค่ชั้นบาง ๆ ก่อน ใช้นิ้วมือนี่แหละทา แล้ววิธีการทาก็คือ ตบมันลงไปเบา ๆ ค่ะ พอมันแห้งแล้วก็หยุดตบ ถ้าไม่หยุดผิวมันจะรู้สึกดึง ๆ นะ แล้วยิ่งถ้าไปถูมันอีกเนี่ยะ มันจะยิ่งดึงผิวเข้าไปใหญ่ คำแนะนำคือ ลงน้อย ๆ บาง ๆ ก่อน ตรงบริเวณที่ต้องการปกปิด และให้ลงเป็นส่วน ๆ ไป อย่าไปลงทีเดียวทั้งหน้า ไม่งั้นเกลี่ยไม่ทัน พอทาแล้วจะรู้สึกว่าหน้ามันจะตึง ๆ และมันจะมีความรู้สึกเย็น ๆ สดชื่น ๆ ด้วยนะ แต่บางทีทาเยอะ สดชื่นเกิน เย็นเกินมันก็จะ borderline กับความรู้สึกว่ามันเหมือนจะ burn (แสบ ๆ) เลย ซึ่งเราก็ยังไม่ค่อยจะแน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าตกลงว่าชอบมั้ยที่มันทำให้ผิวเรารู้สึกแบบนี้ คือมันก็ดีอยู่ที่เรารู้สึกว่า primer มันกำลังทำหน้าที่ของมันอยู่ แต่บางทีก็แบบว่า เฮ้ย แกทำหน้าที่แกแรงไปหน่อยมั้ย too extreme ไปนิดมั้ย อะไรประมาณนั้น เข้าใจเรามั้ยเนี่ยะ? :)

ทีนี้มาถึง tricky part คือ จะทาตรงไหน และทาเมื่อไหร่ คือเราเนี่ยะ มีผิวแบบ combination (ผิวผสม) ค่ะ คือตรง T-zone จะมัน แต่ว่าส่วนอื่น ๆ ของหน้าจะปกติถึงแห้ง ตอนเราใช้ตัวนี้ช่วงแรก ๆ แล้วลงทั่วหน้าเนี่ยะ มันรู้สึกไม่ค่อยสบายเลยค่ะ คือตรงส่วน T-zone เนี่ยะ มันก็แห้งดีอยู่หรอก แต่ว่าส่วนอื่น ๆ ของใบหน้าเนี่ยะ มันแห้ง ๆ แล้วก็ตึง ๆ ค่ะ ดังนั้นถ้าใครผิวแห้งทั่วหน้าเนี่ยะ ขอแนะนำว่าให้ลองเอา sample มาใช้ดูก่อน อย่าเพิ่งซื้อขนาดเต็มมา เอามาใช้ดูก่อนว่ามันจะทำให้ผิวคุณยิ่งแห้งหนักขึ้นไปอีกรึเปล่า ส่วนตัวเรานั้น ช่วงนี้จะใช้ตัวนี้ลงแค่ตรงส่วนที่ต้องการเท่านั้นค่ะ คือแค่ T-zone ลงทั้งหน้าจะแห้งเกินไป และที่สำคัญอีกอย่างคือ ตัวนี้ต้องลงบนผิวที่สะอาดและแห้งนะคะ แห้งในที่นี่หมายถึงว่า หลังทา moisturizer แล้ว รอให้มันซึมลงไปใต้ผิวให้หมดก่อน ถึงค่อยลง primer ตัวนี้ ไม่อย่างนั้นถ้ารีบทาลงไปรับรอง moisturizer ของคุณได้มีลอกแน่ค่ะ แล้วทีนี้ก็จะไม่เนียน จะเป็นเป็นเส้น ๆ แทน ปริมาณที่ลงก็สำคัญ ลงมากเกิน รับรองผิวได้มีแห้งผากแน่นอน ดังนั้นเริ่มต้นแต่น้อย ๆ ค่ะ แล้วค่อย ๆ เพิ่มเอา ทีนี้ถ้ายัง matte ไม่พอ หรือถ้าใครทนความแห้งมากไม่ได้ แต่อยากลงเพิ่มอีกเพราะยังปิดรูขุมขนกว้างไม่มิด ก็ให้ตามด้วย pore-minimizing primer ตัวอื่นได้ค่ะ ซึ่งเราคิดว่าน่าจะดีกว่าพอก Becca ลงไปเยอะ ๆ เพราะมากเกินก็แห้งเกิน จะรู้สึกไม่สบายผิวเปล่า ๆ
แต่… เจ้าความรู้สึกแห้งและตึง ๆ เนี่ยะ มันจะบรรเทาหลังจากที่คุณตามด้วยรองพื้นค่ะ primer ตัวนี้มันจะปรับผิวคุณให้ดูเรียบเนียน พวกริ้วรอยหรือ small imperfections ต่าง ๆ มันจะดูจางลง ทำให้สภาพผิวโดยรวมดูเนียนขึ้น ทีนี้รองพื้นก็จะทาง่ายขึ้น แถมยังทำให้ makeup ติดทนนานด้วย แต่ว่าสิ่งที่เราประทับใจที่สุดคือ ตัวนี้ทาแล้วหน้าจะ matte มันทั้งวันเลยตรงที่ทา แทบไม่ต้อง blot กันเลยทีเดียว! แต่อันนี้ก็สำหรับผิวผสมของเรานะคะ ซึ่งก็ทำให้เราคิด ๆ อยู่เหมือนกันว่าตัวนี้จะทำงานได้ดีเช่นกันรึเปล่าสำหรับคนที่ผิวมัน อาจจะยังมีแอบมันบ้างเล็กน้อย แต่อาจจะไม่มากและอาจจะไม่ต้องซับหน้าเยอะเหมือนตอนไม่ได้ใช้?

โดยรวมแล้วเราคิดว่า primer ของ Becca ตัวนี้น่าจะเหมาะกับคนที่ผิวผสมหรือผิวมัน และสำหรับคนที่กำลังมองหา primer ที่น้ำหนักเบา ๆ ซักตัวนึงที่จะมาช่วยให้หน้า matte แล้วก็ปกปิดรูขุมขนกว้างอย่างดีเยี่ยมได้ในเวลาเดียวกันค่ะ
Purchase
US$39 at Sephora
฿1,600 at Sephora Thailand
Becca กับ Benefit the porefessional อันไหนดีกว่ากันหรอค้ะ ตัวbenefitใกล้หมดเลยอยากลองดู
Becca ใช้ยากนะพี่ว่า เพราะมันแห้งมาก มันแบบดูดซับความมันแบบสูบเกลี้ยงเลย ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี พี่มีรีวิวอยู่ ลองหาดูนะ ผิวต้องดีขั้นเทพก่อนใช้ ไม่งั้นมันจะแห้งเป็นเส้น ๆ เลยเหมือนกัน แต่ว่าการควบคุมความมันนี่ต้องให้เขาเลยค่ะ เยี่ยมจริง ๆ
ส่วนตัวพี่คงจะใช้ Benefit POREfessional มากกว่าถ้าต้องเลือก คุมมันไม่ดีเท่าแต่ว่าใช้ง่ายกว่าเยอะ อย่างน้อยก็บนผิวพี่ :)
ขอบคุณค่าา
ระหว่าง becca ตัวนี้กับhourglass veil mineral ตัวไหนคุมมันได้ดีกว่ากัน เป็นผิวมันช่วงจมูกมาก ขอคำแนะนำหน่อย สองตัวทำงานต่างกันมั้ย เหงื่อชอบออกบริเวณจมูกเวลาอากาศร้อน ทำให้เครื่องสำอางค์หลุดอยู่ไม่ทนเลย
คุมมันได้ดีพอกันค่ะ
Becca ทายากกว่าเพราะทาแล้วทำให้ผิวแห้งและตึงกว่า แนะนำสำหรับคนที่หน้ามันมากจริง ๆ
ของ Hourglass จะเนื้อลื่นกว่า ทาง่ายกว่า ลงเครื่องสำอางตามง่ายกว่า
ส่วนตัวชอบของ Hourglass มากกว่าค่ะ
ขอสอบถามหน่อยได้มั้ยคะพอดีว่าสั่งไพรเมอร์ตัวนี้มาจากทางเว็บ
แต่ว่าตัวสินค้าไม่มีซีลที่ปลายหลอดเลยกลัวโดนลอกขายของใช้แล้วน่ะค่ะ
ของพี่ตอนซื้อสินค้ามีซีลปลายหลอดมั้ยคะ ขอบคุณค่า
สวัสดีค่ะน้องออย พี่จำไม่ได้แล้วค่ะว่ามันมีซีลรึเปล่า เพราะเปิดใช้มานานมากแล้ว แต่พี่คิดว่าไม่น่าปลอมนะ เพราะขนาดทดลองของหลายแบรนด์ก็ไม่มีซีลค่ะ แต่ที่ไม่รู้แน่คือว่ามันถูกใช้มาก่อนรึยังแค่นั้น :)