สุดท้ายก็ได้ไปจัด Dior Addict Fluid Stick สีแรกของเรามาค่ะ เนื่องจากว่าทนแรงกดดันและรีวิวที่ชมกันว่าดีต่าง ๆ นานาจาก beauty community ไม่ไหว ก็เลยเอานะ ลองซักอันก็ได้! ที่ล่าช้าไม่ได้ซื้อเพราะคิดว่า liquid lipstick ของ Dior ตัวนี้มันก็คงไม่ได้ต่างไปจาก liquid lipstick ของแบรนด์อื่นมากนักหรอกมั้ง ก็เลยไม่ค่อยได้สนใจ แต่มาถึงจุดนี้แล้ว ถูกต้องค่ะ! เราคิดผิดจริง ๆ!

คือเจ้าไอเดียของ lipstick/lip gloss/lip stain hybrid นี่มันก็ไม่ได้ใหม่อะไรแล้วหรอก แต่ว่าของ Dior ตัวนี้จะต่างกว่าของแบรนด์อื่นตรงที่เนื้อเบสมันเป็นน้ำค่ะ น้ำหนักเบา สีเข้มแน่น แล้วก็ติดทนนานมาก ๆ
ตัว packaging ก็หรูหรา เป็นใส ๆ ที่ด้านล่างเพื่อโชว์สีข้างใน ที่กิ๊บเก๋คือชั้นข้างในจะ shape มาเป็นรูปลิปสติกค่ะ ซึ่งเราว่ามันคล้ายกันมาก ๆ กับ packaging ของ Maybelline Color Elixir Liquid Color Balm เลย! แต่ของ Dior นี้จะหนักกว่า อ้วนกว่า แล้วก็แข็งแรงกว่าค่ะ


ฝาปิดด้านบนจะเป็นแบบหมุนขึ้นลง ที่หมุนเปิดออกมาก็จะเห็น doe-foot applicator ที่ขนาดหัวมันใหญ่กว่าขนาดหัวของ applicator ทั่วไปอยู่พอสมควร ด้านนึงจะโค้งไว้คอยตักเนื้อลิปออกมาจากหลอด ส่วนอีกด้านจะแบนไว้กวาดสีให้เรียบเนียนไปบนปากระหว่างทา



สีที่เราซื้อมาคือสี 389 Kiss Me ค่ะ ซึ่งมองจากหลอดแล้วจะออกเป็นชมพูนมอ่อน ๆ แต่ว่าเราดีใจมาก แล้วก็โล่งอกมากเมื่อพบว่าพอทาลงไปบนปากแล้วสีจะเข้มขึ้นทำให้ไม่ดูป่วย สีมันจะเซ็ทออกมาประมาณชมพูเข้มกลาง ๆ ที่กำลังสวยเลยทีเดียว เราชอบมาก! :) ตัวนี้มีกลิ่นหอมหวาน ๆ เหมือนวานิลลาค่ะ แต่ว่ากลิ่นเบา ตัว applicator ตักออกมายังไม่ทันจะถึงปากกลิ่นก็หายไปแล้ว

ที่่น่าสนใจของเนื้อของตัวนี้ก็คือ ตอนทาลงไปบนปากครั้งแรกจะรู้สึกเย็น ๆ (เนื่องจากมีส่วนผสมของน้ำ?) ซักประมาณ 2-3 วินาทีได้ เร็วมาก จากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไร ช่วงลงใหม่ ๆ นี้เนื้อมันจะเกลี่ยไปทั่ว ๆ ได้ง่ายมากค่ะ
หลังจากน้ำระเหยออกไปแล้ว ทีนี้เนื้อมันจะเริ่มแห้งลงและเซ็ทตัวกลายเป็นชั้นฟิล์มใส ๆ บาง ๆ ที่โอบกอดริมฝีปากไว้ได้อย่างสวยงาม ทำให้ปากดูอวบอิ่มและเต็มขึ้น ตัวนี้จะไม่ทิ้งความเงาสูงเท่าลิปกลอสจริง ๆ นะคะ แค่เงาปานกลางกำลังดี ฟังดูดีมาถึงตอนนี้ แต่ว่าข้อเสียของตัวนี้ก็มีค่ะ คือพอมันเซ็ทแล้วจะรู้สึกเหนียว ๆ เล็กน้อย แต่ว่าไม่ถึงกับทำให้รำคาญแต่อย่างใด จริง ๆ แล้วถ้าไม่เม้มปากหากันก็ไม่รู้สึกเหนียวค่ะ
ส่วนเรื่อง coverage เราให้เป็น medium to full นะ เราพบว่าถ้าลงไปตรง ๆ จากตัว applicator เลยเนี่ยะ มันจะลงเยอะเกิน เราจึงชอบใช้แปรงทาปากที่ขนนิ่ม ๆ หน่อยต่างหากกับตัวนี้ แล้วลงสีเป็นชั้น ๆ บาง ๆ ใช้แปรงต่างหากนี่ก็ดีอย่างคือมันช่วยทำให้วาดสีตามไปกับขอบปากได้แม่นยำ ไม่มีหลุดเลอะเทอะออกไปข้างนอก ตัวนี้บนปากเราลงชั้นนึงจะได้เกือบทึบเลย ลง 2 ชั้นก็ทึบปิดสีปากเราเลยค่ะ

ทีนี้เพื่อเพิ่มความติดทน เราจะลงทับ 3 ชั้น เราจะรอให้ชั้นแรกมันเซ็ทตัวก่อน จากนั้นก็ลงชั้นต่อไปทับตาม เราจะไม่ blot ระหว่างชั้นนะคะ ใช้วิธีนี้แล้วเราพบว่าสีมันติดทนดีขึ้น นานถึง 5-6 ชม. เลย หลังจากนั้นก็จะค่อย ๆ จางลงและทิ้งคราบ stain อ่อน ๆ ไว้ เราประทับใจกับความติดทนของ Kiss Me มาก นี่ขนาดเป็นสีอ่อนนะ ถ้าเป็นสีเข้ม ๆ สีอื่นนี่สงสัยจะติดทนกันทั้งวัน! ;D
ก็เหมือน ๆ กับ lip product สีชมพูนมตัวอื่น ๆ ทั่วไปนะคะ Kiss Me สีนี้อาจทำให้เกิดเป็นเส้น ๆ สีขาว ๆ นม ๆ ระหว่างปากบนและล่างได้หากลงเยอะเกิน การลงด้วยแปรงต่างหากนี่เราว่ามันจะช่วยให้เนื้อสีเกลี่ยไปบาง ๆ ได้ง่ายขึ้นและเสมอกันขึ้น รวมถึงจะช่วยลดไม่ให้สีไปตกตามร่องปากหรือไปจับตัวกันตรงรอยแห้งด้วย เราไม่พบว่าเนื้อของตัวนี้จะให้ความชุ่มชื้นหรือบำรุงปากอย่างที่หวังไว้แต่ว่าอย่างน้อยก็ยังดีที่มันไม่ทำให้ปากแห้งค่ะ


สรุปสี Kiss Me พูดถึงแล้วก็กลายมาเป็น surprise เหมือนกันนะ เพราะสีชมพูอ่อนของมันกลับเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นที่กำลังสวยเลย ทาได้ทั้งกลางวันและกลางคืน นอกจากสีเปลี่ยนแล้วเนื้อก็เปลี่ยนด้วย คือจากที่เป็นนม ๆ หนา ๆ เหมือนลิปบาล์มก็กลายมาเป็นชั้นฟิล์มใส ๆ แทนเหมือนพวก YSL Glossy Stian ที่ติดทนนาน มันก็ innovative อยู่เหมือนกันนะเราว่า! ถ้าใครชอบใช้พวก liquid lipstick แบบนี้เราว่าคุณควรจะต้องลองของ Dior ตัวนี้ค่ะ! :)
กิเลสอีกแย้วอ่า สีชัดจริงๆด้วย อร้ายยย อยากได้
สีเข้มสีอื่น ๆ ก็สวยน้า เมืองไทยมีแล้วใช่มั้ย ลองไป swatch ดู!
อ่ะเคค่า :)