2 อาทิตย์ที่ผ่านมานี่หน้าเราแบบสิวขึ้นเยอะมาก พรึ่บไปหมด เป็นสิวแบบนูน ๆ แดง ๆ ใหญ่ ๆ ด้วยที่มันหายยาก ๆ น่ะค่ะ แบบที่หายแล้วทิ้งรอยแดงน่ากลัวมาก เศร้ามาก อาจจะเครียดเกี่ยวกับงานมากไปหน่อย บวกกับนอนน้อยอีก ซึ่งพอเป็นอย่างนี้แล้วเราก็เลยลด ๆ การแต่งหน้าลงหน่อย ไม่มีการลงรองพื้น, BB/CC cream หรือ tinted moisturizer อะไรใด ๆ ทั้งสิ้น แค่ moisturizer, ครีมกันแดด และก็แป้งนิดหน่อยเท่านั้น
แล้วแป้งที่เราใช้นี่ก็คือตัวที่เรารู้ดีแน่นอนว่าจะให้การปกปิดที่ดีตรงบริเวณที่เป็นสิวและมีรอยแดงโดยไม่ทำให้เราเป็นสิวเพิ่มขึ้น ซึ่งก็คือ Make Up For Ever Duo Mat Powder Foundation ค่ะ ไหน ๆ ก็หยิบเอาออกมาใช้อีกรอบก็เลยถือโอกาสนำมารีวิวไปซะเลย




แป้งรุ่นนี้มาในตลับ 2 ชั้นสีดำค่ะ ตัวฝามีแม่เหล็กปิดแน่นดีอยู่ ชั้นบนจะเป็นตัวแป้งส่วนชั้นล่างจะมีฟองน้ำกลม ๆ มาให้ ฝาด้านบนมีช่องหน้าต่างแคบ ๆ ให้ดูด้วยว่าแป้งข้างในสีอะไร ส่วนด้านในของฝาก็มีกระจกเป็นรูปครึ่งวงกลมซึ่งเราว่ามันขนาดค่อนข้างเล็กไปนิด ตัวฟองน้ำนี่นิ่มดีค่ะ คุณภาพดี เนื้อแน่น แล้ว MUFE เขาแนะนำว่าควรใช้แป้งแต่แบบแห้งนะคะ อย่าไป damp ฟองน้ำมัน (ไม่ควรใช้แบบเปียก)
สีที่ทำมามีทั้งหมด 11 สี สีที่เรามีคือสี 203 Light Beige ซึ่ง match กับสีผิวเราพอดีเป๊ะ สีผิวเราคือ NC30 with yellow undertones ค่ะ แป้งตัวนี้ไม่มีส่วนผสมของ oil แล้วก็ไม่มีกลิ่นค่ะ


Duo Mat ตัวนี้มันก็คือแป้งแบบอัดแข็งที่ใช้ทาให้หน้า matte ตัว coverage สามารถ build ได้ ถ้าอยากได้ coverage แบบเบา ๆ ก็ใช้แปรงปัดแป้งที่ใหญ่ ๆ ฟู ๆ หน่อยลง ถ้าอยากได้ coverage แน่น ๆ หน่อยก็ใช้พวกแปรงที่ขน dense ลงหรือไม่ก็ใช้ฟองน้ำ ปกติวันธรรมดาแล้วเราก็ใช้แค่แปรงปัดแป้งลงค่ะ เพื่อเซ็ทรองพื้น แต่ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี่อย่างที่บอกเราไม่ลงรองพื้นเลย เราก็เลยใช้แค่ฟองน้ำนี่แหละ กด ๆ แป้งลงไปจากนั้นเราตามด้วยแปรงปัดแป้งฟู ๆ หน่อยปัด ๆ ให้ทั่วเพื่อให้แป้งมันกระจาย ๆ เล็กน้อย เราพบว่าถ้าใช้แค่ฟองน้ำอย่างเดียว หน้ามันจะดูหนา ๆ ค่ะ แต่ถ้าตามด้วยแปรงอีกนิดเกลี่ย ๆ มันนิดหน่อยจะทำให้ finish ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
เนื้อแป้งนี่นุ่มและเนียนมากค่ะ ทาแล้วจะได้ finish ออกประมาณ satin ตัวมันเดี่ยว ๆ นี่ใช้แล้วสามารถกลบรอยสิวและรอยแดงต่าง ๆ ได้ดีเลยทีเดียว จนบางทีเราก็มีข้าม concealer ไปเลยก็มี มันทำงานได้ดีจริง ๆ ค่ะเรื่องการปกปิดเนี่ยะ ผิวเราพอทาแล้วก็ดูเนียนขึ้น พวก imperfections ต่าง ๆ ก็ดูเบลอ ๆ พวกรอยแดงก็ดูปกปิดเรียบร้อย มันแบบว่ากลบได้แน่นมาก เราคิดว่าคนที่มีปัญหาพวกสีผิวไม่สม่ำเสมอกัน หรือมีพวกรอยแดง รอยคล้ำเยอะเนี่ยะ น่าจะชอบตัวนี้ค่ะ
อีกอย่างที่เราชอบของแป้งตัวนี้คือ มันสามารถลงทับแล้วทับอีกได้โดยที่หน้าไม่ดู cakey นะ แถมไม่รู้สึกหนักด้วย นอกจากนี้มันก็ยังช่วยทำให้รูขุมขนดูเล็กลงและไม่ไปทำให้บริเวณที่ผิวแห้งหรือลอกดูแย่ขึ้นไปอีก ซึ่งเราก็แปลกใจที่มันไม่ไปเน้น เพราะปกติแล้วพวกแป้งเนี่ยะ เจอบริเวณผิวที่แห้ง ๆ หน่อยนี่ก็จะแบบไปเน้นให้มันชัดขึ้น แต่ตัวนี้ไม่ค่ะ อ้อ อีกอย่างคือ ตัวนี้ตอนทาใหม่ ๆ หน้าอาจจะดูซีด ๆ เทา ๆ เล็กน้อยแต่ว่าให้รอซัก 5-10 นาทีให้แป้งมันเซ็ทค่ะ จะเห็นเลยว่ามันเซ็ทแล้วเนียนเข้ากับผิวดีขึ้น
แถมตัวนี้ก็ติดทนนานด้วยนะ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ควบคุมความมันทั้งวันแต่ว่ามันก็ไม่ได้ทำให้หน้าเราบริเวณ T-zone มันขึ้นกว่าเดิมแต่อย่างใด ส่วนบริเวณอื่น ๆ ของหน้าเราก็ยังคง matte ไปเกือบทั้งวัน แถม coverage ก็ไม่จางลงหรือทำให้หน้าดู cakey ด้วย นอกจากนี้เราก็พบว่ามันไม่ oxidize (สีเข้มขึ้นระหว่างวัน) หรือทำให้ผิวดูแห้งขึ้นแต่อย่างใดเลยด้วย another giant thumbs up เลยค่ะ!



เราคิดว่า Duo Mat ตัวนี้น่าจะเหมาะกับวันที่คุณไม่อยากจะทำอะไรมาก แค่อยากใช้อะไรที่ง่าย ๆ เร็ว ๆ แต่ยังคงให้การปกปิดที่มิดชิด เรารู้เลยว่าเราประหยัดเวลาการแต่งหน้าตอนเช้าไปได้พอสมควรเลยเวลาใช้แป้งตัวนี้เพราะว่าเราไม่ต้องลงรองพื้นก่อน แค่ moisturize ผิวเล็กน้อย ลงแป้งตัวนี้ ปัดแก้มเบา ๆ ลงลิปกลอสอีกเล็กน้อย หรืออาจจะทาตาเบา ๆ ด้วยบางวัน แค่นี้ก็เสร็จพร้อมออกจากบ้าน :)
อีกอย่างที่อยากฝากไว้คือ เราคิดว่า MUFE เขาไม่ทำตัวนี้ออกมาแล้วนะ เพราะเขามีตัวใหม่แล้วที่ชื่อว่า Pro Finish Multi-Use Powder Foundation (ซึ่งเราอ่านรีวิวส่วนมากแล้วเขาบอกว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ) ดังนั้นอาจจะหาซื้อ Duo Mat ที่ร้านไม่ได้แล้ว แต่ว่าถ้าอยากได้ตอนนี้ยังมีขายออนไลน์อยู่ที่ Sephora.com ค่ะ ถ้าอยากลองก็ต้องรีบซื้อเลยก่อนจะหมด Sephora เขามี return policy ที่ดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ชอบก็เอาไปคืนได้ แต่เราคิดว่าถ้าคุณได้ลองแล้วน่าจะชอบค่ะ :)