คือเราก็อุตส่าห์ยับยั้งชั่งใจแล้วนะช่วงนี้ว่าจะลดละเลิกซื้อพวก BB/CC cream เพราะว่าที่มีอยู่มันก็เยอะมากจนใช้ไม่หมดแล้ว! แต่พอได้มาเห็นตัวนี้ที่เพิ่งออกมาใหม่จาก Origins คือตัว Smarty Plants CC cream เท่านั้นแหละ จิตใจไม่มียับยั้งแล้ว willpower หายหมดสิ้น หลับหูหลับตาซื้อมาแบบไม่ได้มีคิดหน้าคิดหลังเลย!

slogan ของตัวนี้ฟังดูเข้าท่าดีนะ “Beauty with Brains” :) Origins บอกว่า CC cream ตัวนี้จะช่วยปรับสีผิวให้เท่ากัน ทำให้สภาพผิวโดยรวมดูดีขึ้น และช่วยป้องกันผิวจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ในขณะเดียวกันก็จะช่วยปกปิดรูขุมขนและริ้วรอยต่าง ๆ พร้อมกับให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวไปในตัว จริง ๆ แล้วถ้าได้อ่านรายละเอียดลึก ๆ ของตัวนี้จะรู้เลยว่าเขาคิดค้นกันมาเป็นอย่างดีเลยนะกว่าจะได้สูตรนี้ออกมา เราลองได้อ่านรายละเอียดดูแล้วก็รู้สึก entertained ดีที่ได้รู้ว่าส่วนผสมแต่ละตัวมันทำหน้าที่ยังไง และมันมาทำงานร่วมกันยังไงเพื่อช่วยแปรเปลี่ยน environmental stressors ให้เป็น end product คือน้ำเพื่อเป็นตัวให้ความชุ่มชื้น
ตัวนี้มีทำออกมา 2 สีค่ะ (จำกัดมากเลยเนอะ) คือสี 01 Light to Medium และ 02 Medium to Dark สี Medium to Dark อันนี้เข้มเกินกว่าผิวเราอย่างเห็นได้ชัดค่ะ เราก็เลยซื้อสี Light to Medium มา สีมันอ่อนกว่าสีผิวเราอยู่เหมือนกันแต่เราคิดว่าถ้าซื้อสีอ่อนมามันจะแก้ง่ายกว่าซื้อสีเข้มมาเลย อันนี้มาในหลอดสีเขียว olive green ที่มีฝาหมุนเปิดปิดธรรมดาสีเดียวกัน เนื้อครีมมีกลิ่นออกประมาณ citrus หอม ๆ หวาน ๆ หน่อยซึ่งเราชอบนะ เราว่ากลิ่นมันหอมสดชื่นดี ส่วนเรื่องส่วนผสมเขาก็ใส่แต่สิ่งดี ๆ ลงไป อาทิเช่น Vitamins C & E และ Green Tea เพื่อช่วยปรับสภาพผิวและคงความชุ่มชื้นระหว่างวัน

ถ้าพูดกันตามตรงแล้วมันก็คือ tinted moisturizer ธรรมดานี่แหละค่ะ แต่ว่าแค่มีส่วนผสมของ skincare benefits และ SPF (broad spectrum SPF 20; Octinoxate 7.50%, Octisalate 4.00%, and Oxybenzone 3.50%) เพิ่มมาด้วย เนื้อครีมน้ำหนักเบาและ creamy ทาง่าย ซึมซับเร็ว ไม่ทิ้งความมันหรือความรู้สึกเหนียวอะไรไว้บนผิวเลยสี Light to Medium ที่เราซื้อมาตอนบีบออกมาครั้งแรกมันจะออกสีประมาณ beige อมชมพูนิด ๆ แต่ว่าพอทาลงไปบนผิวแล้วมันจะปรับตัวให้เข้ากับสีผิวเราเองและเราก็พบว่าสีมันไม่ได้อ่อนไปหรืออะไรเลยนะ จริง ๆ แล้วสีมันปรับตัวเข้มขึ้นเร็วมาก ภายใน 2-3 นาทีนี่สีก็เข้มขึ้นถึง 1-2 shades เลยและสีก็จะออกเหลืองมากขึ้นด้วย (ดูจาก swatch ด้านล่างได้) แต่ว่าสีก็ไม่ได้ oxidize เพิ่มขึ้นระหว่างวันอีกนะคะ ซึ่งเราก็ดีใจที่มันไม่ ไม่งั้นมันคงจะเข้มเกินและดูหมอง ๆ เราชอบ finish ของตัวนี้นะ มันดูธรรมชาติ ๆ ดี แล้วก็รู้สึกเบาและดูเหมือนไม่ได้ทาอะไรเลย
ส่วนเรื่องของ coverage อันนี้ถือว่าอยู่ในระดับ sheer ถึง barely-there ค่ะ ซึ่งก็เหมาะสำหรับวันที่ผิวดูเป็น good skin days หรือวันที่ไม่ต้องการแต่งหน้าอะไรมาก ตอนเราทา CC cream ตัวนี้เห็นได้ชัดเลยว่าสภาพผิวเราโดยรวมดูดีขึ้น พวกริ้วรอยก็ดูเลือนลง ส่วนรูขุมขนก็ดูกระชับขึ้น แต่… ตัวนี้ไม่ได้ช่วยมากมายอะไรเลยในเรื่องของการปกปิดรอยแดง รอยแผลเป็นจากสิว sun spots หรือ hyperpigmentation เพราะ coverage มันต่ำน่ะค่ะ อย่างที่บอก ดังนั้นเวลาเราใช้เราก็จะตามด้วย concealer อีกนิดหน่อยเพื่อปกปิดพวก discoloration ให้มิดชิดขึ้น


สำหรับตัวนี้เราพบว่าถ้าเราตามด้วยแป้งฝุ่น loose powder เนี่ยะ หน้าเราจะ matte ทั้งวันเลยนะ แต่ถ้าตามด้วยพวกแป้งผสมรองพื้น หน้าเราโดยเฉพาะช่วง T-zone เนี่ยะจะเห็นเลยว่ามันเล็กน้อยและก็ต้อง blot เราว่าตัวนี้น่าจะเหมาะกับคนที่มีผิวแห้งถึงผิวปกติ หรือ ผิวปกติถึงผิวผสม เพราะมันจะช่วยให้หน้าดูชุ่มชื้น แต่ว่าสำหรับคนที่ผิวมันหรือคนที่อยู่ในบริเวณที่ร้อนชื้น อันนี้อาจจะ moisturizing เกินค่ะ และอาจจะทำให้หน้ามันขึ้นได้

ที่ที่เราอยู่ตอนนี้เข้าหน้าหนาวแล้วและช่วงนี้เราก็ดูเหมือนจะหยิบเอาตัวนี้ออกมาใช้บ่อยมาก คงเป็นเพราะว่าชอบกลิ่นมันน่ะค่ะ สดชื่นดี และก็ชอบมันตรงที่มันทำให้หน้าเราคงความชุ่มชื้นไว้ถึงแม้ว่าสภาพอากาศรอบตัวจะแห้งมากก็ตามโดยไม่ทำให้รู้สึกหนักหน้าหรือหน้าดูหนาแต่อย่างใด แต่มีอย่างนึงที่เรายังไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่สำหรับตัวนี้คือเรื่องของ SPF เราว่าแค่ 20 เองเนี่ยะ มันค่อนข้างต่ำเลยนะ ดังนั้นเราจะลง sunscreen SPF 50 ของเราไว้ก่อนเสมอ


ถ้าใครกำลังมองหา tinted base ที่ใช้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากอยู่เพื่อให้การแต่งหน้าในตอนเช้ารวดเร็วขึ้น เราว่าตัวนี้ก็ OK เลยค่ะ มันทำทุกอย่างเลยใน step เดียว ทั้ง moisturize ป้องกันผิวจากรังสีแดด และก็สามารถใช้เป็น face primer ได้ด้วย ทีนี้ว่าจะตามด้วยรองพื้นอีกหรือเปล่านั้นก็สุดแล้วแต่ว่าอยากจะได้ coverage ประมาณไหน ส่วนตัวเราเราก็จบแค่ตัวนี้แหละค่ะ ไม่ลงอะไรเพิ่มแล้วเพราะว่าสำหรับเราตัวนี้ตัวเดียวก็ทำให้ผิวเราดูดีในระดับที่เราพอใจแล้ว