เมื่อเร็ว ๆ นี้แบรนด์ Urban Decay ได้เปิดตัวโปรแกรม The Ultraviolet Edge ออกมาค่ะ ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับช่วยเหลือและเพิ่มความสามารถให้แก่ผู้หญิงทั่วโลก ปีแรกแบรนด์เขาตั้งเป้าหมายไว้ที่ $500,000 เพื่อส่งต่อให้กับกองทุน Women’s Global Empowerment Fund ซึ่งเป็นองค์กรที่ช่วยเหลือผู้หญิงในประเทศอุกันดาด้วยการให้ความรู้เรื่องธุรกิจ การเงิน การพัฒนาความเป็นผู้นำ รวมไปถึงช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายแก่ผู้ช่วยระดับท้องถิ่นที่ช่วยเหลือโครงการด้วย (อ่านเพิ่มเติมได้ที่หน้านี้ค่ะ) และอีก 5 ปีข้างหน้า แบรนด์จะพยายามรวบรวมเงินให้ได้ 3 ล้านเหรียญเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงผ่านโครงการอื่นอีก ตลอดเวลาช่วงนี้แบรนด์ก็จะปล่อยสินค้าที่เป็น limited-edition ออกมาเรื่อย ๆ แต่ละชิ้นขายได้ทั้งหมดเท่าไหร่เขาก็นำเงินทั้งหมด 100% ไม่หักค่าใช้จ่ายใด ๆ ไปสมทบโปรแกรม The Ultraviolet Edge ไว้ สำหรับปีแรกนี้ แบรนด์ปล่อยอายไพรเมอร์ตัวใหม่ออกมาชื่อสี Enigma ค่ะ ซึ่งตัวนี้เราได้มีโอกาสใช้มาหลายอาทิตย์แล้ว และวันนี้ก็พร้อมที่จะมาแชร์ความคิดเห็นเราให้คุณฟังแล้วค่ะ! :)


Enigma เป็น Eyeshadow Primer Potion สีใหม่ล่าสุดและเป็น limited-edition ด้วย เขาอธิบายสีมาว่าเป็น “neutral matte” แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมีสีชมพูผสมเบ็จสีเย็นผสมด้วย ตัวนี้มาในหลอดดีไซน์ใหม่ ตัวหลอดจะเป็นสี ombré สวยงามและหลอดบีบได้คุณจึงสามารถบีบเอาผลิตภัณฑ์ออกได้จนหมดหยดสุดท้าย ส่วนฝาก็มีปลายที่ตัดมาเหมือนเป็นรูปพวกอัญมณีสวยงาม พอเปิดฝาออกมาแล้วก็จะเห็นแปรงทาที่ปลายจะเฉียงหน่อยและปลายเป็นแปรงแบบ flocked wand ค่ะ เห็นแบบนี้หลายคนก็แอบมีกังวลว่ามันอาจจะปนเปื้อนง่าย แต่สำหรับเราเราจะแตะผลิตภัณฑ์ลงบนหลังมือที่สะอาดเราก่อนค่ะ จากนั้นก็ค่อยใช้นิ้วนางแตะขึ้นไปทาตา เราจะพยายามไม่ทาจากแปรงโดยตรงเพื่อลดการปนเปื้อนเมื่อใช้ไปนาน ๆ อีกอย่างเราว่าแปรงมันหยิบเนื้อขึ้นมาแบบว่าเยอะมาก ดังนั้นใช้มือลงจะกะปริมาณในการใช้ได้ดีกว่ามากค่ะ

Enigma ไม่มีกลิ่น และเนื้อจะนุ่มครีมมี่มาก ทำให้การทาและเกลี่ยบนเปลือกตาเป็นเรื่องที่ง่าย ระดับการปกปิดทึบเลยค่ะ แห้งเร็วด้วย แห้งแล้วให้ finish แบบเนื้อแม็ทสนิทที่ไม่เหนียวไม่หนึบ จะแม็ทแบนเลย ไม่มีชิมเมอร์ผสม ทาแล้วมันจะช่วยทำให้ผิวตาสว่างขึ้นและเนียนขึ้นทันที และมันก็ช่วยลบพวกรอยแดง สีผิวไม่สม่ำเสมอกัน และรอยเส้นเลือดบนเปลือกตาไปในตัวได้ด้วยหากใช้ในปริมาณที่มากพอ นอกจากนี้คุณก็สามารถใช้ลงบริเวณใต้ตาได้ด้วยนะ เพื่อปรับให้หน้าสว่างขึ้นและปรับผิวให้เนียนขึ้นก่อนการลงคอนซีลเลอร์

APPLICATION TIP
หากใครพบว่าทาแล้วมันดูแห้ง เป็นจ้ำ ๆ ไม่สม่ำเสมอ หรือทาแล้วดึงเปลือกตา (อายไพรเมอร์หลายตัวเป็นแบบนี้จริง ๆ) คำแนะนำเราคือให้คุณใช้น้อยลงค่ะ และก็เปลี่ยนไปใช้แปรงหัวฟูขนาดเล็กในการลงและเกลี่ย มันจะได้ผิวที่เนียนขึ้น หากทำแล้วยังไม่ช่วยอะไรอีก เราแนะนำให้ผสมมันกับไพรเมอร์ที่มีเนื้อเป็นซิลิโคนหรือจะผสมกับอายครีมเลยก็ได้ค่ะ ผสมให้เข้ากันแล้วทา จากนั้นจะเซ็ทด้วยแป้งฝุ่นหรืออายแชโดว์เนื้อฝุ่นบาง ๆ ทับด้วยก็ได้ (แต่ไม่จำเป็นต้อง) เราใช้วิธีนี้บ่อยมากเวลาที่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อแม็ทและแห้งเร็ว ทำแล้วเราก็ไม่มีปัญหาในการทาเลยค่ะ ได้ finish ออกมาสวยทุกครั้งเลย! :)
ส่วนเรื่องการทำงานนั้น ตัวนี้สามารถช่วยให้สีอายแชโดว์ติดทนและคงความสดใสของสีได้ตลอดวันเลยค่ะ ไม่มีตกตามริ้วรอย เปื้อน หรือจางเลย แม้กระทั่งในวันที่ทำงานยาวนานถึง 10 ชั่วโมงก็ตาม แถมมันยังช่วยทำให้ผิวใต้ตาเนียนขึ้นและช่วยให้คอนซีลเลอร์ติดทนนานขึ้นด้วย สำหรับใครที่หนังตามัน เราอยากให้ลองใช้ตัวนี้ดูค่ะ เพราะมันทำให้ผิวแม็ทได้ดีมาก!
Comparison to other Primer Potions
ในรูปด้านล่างนี้ เรานำ Urban Decay Primer Potion 4 ตัวมาป้ายเปรียบเทียบข้างกันเพื่อให้คุณเห็นความแตกต่างสีและเนื้อของแต่ละตัวค่ะ
swatched:

เกลี่ยและเซ็ท:

เห็นได้ชัดเลยนะคะว่าตัว Original และ Anti-Aging นั้นจะแห้งกลายเป็นใสไปกับผิวเลย ส่วน Eden และ Enigma นั้นแห้งแล้วจะให้เนื้อที่มีระดับการปกปิดเล็กน้อย
ต่อไปเราก็ลองทดสอบแต่ละสูตรดูว่ามันช่วยเพิ่มสีสันให้กับอายแชโดว์อย่างไร เราเลือกสี Omen จากพาเล็ท Urban Decay 15th Anniversary Palette มาทดสอบค่ะ เราพยายามทาในปริมาณที่เท่ากันและใช้แรงทาให้เท่ากันสำหรับไพรเมอร์แต่ละสูตร

จากรูปจะเห็นชัดเลยว่า Enigma สามารถเพิ่มความมีสีสันให้กับอายแชโดว์ได้ดีพอ ๆ กับสูตรอื่นเลย สี Omen นี้จะเข้มขึ้นชัดขึ้นและเนียนขึ้นเมื่อทาทับไพรเมอร์ เปรียบเทียบกับตอนที่ทาเดี่ยว ๆ แล้วความเข้มสีต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ
สรุปแล้ว Enigma ตัวนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า look good feel good product ค่ะ คือมันช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของอายแชโดว์ให้ติดทนนาน แถมเงินที่คุณใช้ซื้อก็จะถูกนำส่งไปช่วยเหลือผู้อื่นอีกด้วย ตัวนี้อย่างที่บอกเป็น limited-edition นะคะ ดังนั้นหากอยากได้ให้รีบซื้อเลยก่อนมันหมด! ต่อจากนี้เราก็จะนับตารอผลิตภัณฑ์ The Ultraviolet Edge ตัวต่อไป อยากรู้จังว่าแบรนด์จะทำอะไรออกมาให้พวกเรา! :)