รีวิว Urban Decay Naked Skin Beauty Balm

ช่างเป็นเวลาที่เหมาะเจาะจริง ๆ! เพราะเราอยากจะรีวิวตัวนี้มานานมากแล้ว แล้วพอดี Urban Decay เพิ่งปล่อยตัวนี้ออกมาเพิ่มอีก 2 สีเพื่อให้รองรับกับสีผิวของผู้ใช้ได้มากขึ้น ก็เลยได้เวลารีวิวจริง ๆ จัง ๆ ซักที เผื่อว่าใครจะอยากลองตัวนี้ค่ะ

Urban Decay Naked Skin Beauty Balm
Urban Decay Naked Skin Beauty Balm
Urban Decay Naked Skin Beauty Balm
Urban Decay Naked Skin Beauty Balm
Urban Decay Naked Skin Beauty Balm
Urban Decay Naked Skin Beauty Balm
Urban Decay Naked Skin Beauty Balm
Urban Decay Naked Skin Beauty Balm

สีที่เรามีคือสีตัว original ค่ะ (ซึ่งตอนออกใหม่ ๆ Urban Decay เรียกสีนี้ว่าสี “universal shade”) แต่ตอนนี้ได้ถูกเปลี่ยนชื่อสีเป็นสี Naked Medium แล้ว ส่วนอีก 2 สีใหม่นั้นคือสี Naked Light และ Naked Dark ค่ะ

จากที่ดูพวก swatches ออนไลน์มานี่ สี Naked Light นี่ค่อนข้างอ่อนเลยนะ แล้วก็ออกไปทางชมพูหน่อย ๆ ซึ่งน่าจะ match ได้ดีกับคนที่ผิวขาว ๆ อมชมพูค่ะ ในขณะที่ Naked Dark นี่จะหนักไปทางน้ำตาลเข้มอมส้มเลยซึ่งก็น่าจะเหมาะกับคนผิวคล้ำอมเหลือง ส่วนสี Naked Medium อันนี้เข้มกว่า Naked Light พอสมควรและมีอมส้มนิด ๆ ด้วย น่าจะเหมาะกับคนที่สีผิวเข้มปานกลางอมเหลืองค่ะ

ทั้ง 3 สีมาในหลอด packaging หน้าตาเหมือนกันเป๊ะค่ะ คือเป็นหลอดแบน ๆ แบบบีบสีน้ำตาลทองแดงอมชมพูที่่มีฝาปิดเป็นหมุน ๆ ธรรมดาสี chrome เงาแว้บเลย ตัวเนื้อครีมเองมีกลิ่นหอมออกไปทางมิ้นท์ ๆ นะ นึกประมาณกลิ่นยาสีฟัน ฮ่า ๆ ซึ่งเราชอบนะ เราว่ามันหอมสดชื่นดี :D

Urban Decay Naked Skin Beauty Balm
Urban Decay Naked Skin Beauty Balm
Urban Decay Naked Skin Beauty Balm
Urban Decay Naked Skin Beauty Balm

Naked Skin Beauty Balm ตัวนี้เป็น 5-in-1 product ค่ะ เขาบอกว่ามันสามารถ:

perfect – ทำให้หน้าดูเรียบเนียนขึ้น พวกรูขุมขนกว้าง รอยแดง และริ้วรอยต่าง ๆ ดูลดลง
protect – ป้องกันผิวจากรังสีแดด เพราะมี broad spectrum SPF 20 มาให้ด้วย
treat – โดยมีส่วนผสมของพวก anti-aging benefits ที่จะช่วยให้ผิวดู firm ขึ้น (หลังการใช้ 8 สัปดาห์)
prime – ใช้เป็น makeup primer ได้ด้วย
hydrate – ทำให้ผิวดูมีความชุ่มชื้น

ยังไม่หมดนะคะ ตัวนี้ยังบอกอีกด้วยว่าจะไป “หยุดยั้ง/ซ่อมแซมการสึกหรอของ DNA” โอ้โห อันนี้แบบว่าลงกันถึง DNA เลย คือเราเป็น Molecular Biologist น่ะค่ะ ได้ยินแบบนี้แล้วต้องมีกลับหลังหันไปอ่านอีกรอบ! คือเราว่าอันนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ค่ะ แต่ว่าเราไม่ได้จะมาสอนเรื่อง DNA ดังนั้นเราจะข้าม claim นี้ไปละกันนะ เราจะเข้าเรื่องรีวิวจริง ๆ ดีกว่าว่าตัวนี้มันทำงานอย่างไรแค่ในระดับ surface ของผิวก็พอ :)

เริ่มจากเนื้อครีมกันก่อนเลย บางมากค่ะ น้ำหนักเบา และก็ออกเหลว ๆ ด้วย เกลี่ยไปบนผิวง่ายสุด ๆ! เราชอบ finish ของมันมาก มันจะแห้งกลายเป็น semi-matte คือไม่ matte ด้านซะทีเดียว matte กำลังดี ที่พอทำให้บริเวณที่มัน ๆ ดูมันน้อยลงและเนียนเรียบขึ้น บนผิวเราพบว่าตัวนี้ไม่ไปทำให้พวกรอยแห้งดูชัดขึ้นแต่อย่างใดค่ะ มันไปกลบให้ดูเห็นน้อยลงด้วยซ้ำ

ส่วนเรื่องระดับการปกปิด อันนี้ claim ที่บอกมาเราไม่เห็นทำได้จริงหมดนะคะ บนหน้าเราตัวนี้ไม่ปกปิดรอยแดงข้างจมูกหรือพวกรอยสิวใด ๆ ทั้งสิ้นค่ะ ถึงแม้ว่าจะลงทับหลายชั้นก็ตาม ก็ยังเห็นชัดอยู่ หากใครต้องการปกปิดมิดชิดจริง ๆ อันนี้คงต้องใช้ concealer หรือรองพื้นเข้าช่วยด้วย

เนื้อครีมตอนบีบออกมาจากหลอดมันจะออกส้มน่ากลัวมากเลยนะพูดถึงแล้ว แต่ว่าพอเกลี่ยลงไปบนผิวเท่านั้นมันก็หายส้ม ดูกลืนกันไปกับผิวเลย สีที่เรามีมันก็ไม่ถึงกับ match สีผิวเราได้พอดิบพอดีเลยหรอก แต่ว่าดูโดยรวม ๆ แล้วมันทำให้หน้าดู “warm” ขึ้น มีสีขึ้นเล็กน้อย สิ่งที่เราชอบมากที่สุดของตัวนี้คือ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเนื้อครีมที่บางมาก แต่ว่าทาแล้วมันทำให้หน้าดูเรียบเนียนได้ดีจริง ๆ ค่ะ พวกริ้วรอย small imperfections ต่าง ๆ มันดูจะเบาลง soft ลง แถมรูขุมขนก็ดูเล็กลงด้วย สงสัยจะเป็นเพราะเจ้าตัว “light-diffusing spheres” ที่เขาใส่มาด้วยนี่แหละ ไม่ว่าจริง ๆ แล้วมันจะคือสารอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่ามัน work อ้ะ! :)

ความแตกต่างของการทากับไม่ทาเนี่ยะ ดูเผิน ๆ แล้วแทบจะแยกไม่ออกค่ะ และถ้าไปส่องหน้าใต้ไฟบางประเภทนี่ก็อาจจะไม่เห็นความแตกต่างเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับเราความแตกต่างเห็นชัด มีแน่นอนค่ะ ซึ่งเดี๋ยวจะได้เห็นในรูปด้านล่าง (Before and After) คือผิวมันเห็นได้เลยว่าดูดีขึ้น และที่แปลกคือมันดูดีขึ้นแบบดูเหมือนว่าอยู่ดี ๆ ก็ดี ไม่ได้พอกเครื่องสำอางอะไรมา ดูเป็นธรรมชาติมาก ผิวก็ยังดูเป็นผิวเราเหมือนเดิม แต่เป็น version ที่ดูดีขึ้น

นอกจากนี้ตัวนี้ก็สามารถใช้เป็น primer ก่อนลงรองพื้นได้ด้วย มันทำให้รองพื้นเกลี่ยไปง่ายขึ้นและทำให้เครื่องสำอางติดทนขึ้น อีกอย่างคือ เขาก็ไม่ได้บอกนะว่าตัวนี้จะช่วยควบคุมความมันแต่เราพบว่ามันทำให้หน้าเรามันน้อยลงด้วยค่ะ

Urban Decay Naked Skin Beauty Balm
Urban Decay Naked Skin Beauty Balm
Urban Decay Naked Skin Beauty Balm
Urban Decay Naked Skin Beauty Balm
Urban Decay Naked Skin Beauty Balm; L-R: unblended, partially blended, and completely blended
Urban Decay Naked Skin Beauty Balm; L-R: unblended, partially blended, and completely blended
Urban Decay Naked Skin Beauty Balm; Before (L) and After (R)
Urban Decay Naked Skin Beauty Balm; Before (L) and After (R)

เรารู้สึกว่า Beauty Balm ตัวนี้มันไม่ค่อยจะเข้ากับกลุ่มเครื่องสำอางใด ๆ เลยนะ มันไม่ใช่ BB cream ไม่ใช่ primer ไม่ใช่ tinted moisturizer อะไรทั้งนั้น มันเหมือนเป็นอย่างละนิดของทุกอันมากกว่า คือเรื่องระดับการปกปิดจะเบาเหมือน tinted moisturizer เนื้อบางเหมือน primer และมีส่วนผสม anti-aging benefits และสารกันแดดเหมือน BB cream มันเหมือนกับว่าตอนเขาทำเขาไม่รู้เหมือนกันว่ากำลัง formulate อะไรอยู่ หรือไม่ก็ตั้งใจทำให้มันออกมาเป็นแบบนี้จริง ๆ :D

โดยสรุปแล้ว ถ้าใครกำลังมองหาครีมที่จะปกปิดได้มิดชิด ตัวนี้ไม่ใช่คำตอบค่ะ แต่ถ้ากำลังมองหาอะไรที่ไว้ใช้ง่าย ๆ วันที่ขี้เกียจ ๆ หน่อย หรือถ้ามีผิวที่ค่อนข้างดีตามธรรมชาติอยู่แล้วและแค่อยากจะทำให้มันดูเนียนขึ้นอีกนิด อันนี้ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกค่ะ แต่เราไม่แนะนำให้ใช้ตัวนี้ตัวเดียวเพื่อเป็นสารกันแดดนะคะ เพราะว่า SPF 20 นี่ต่ำเกินค่ะ ยิ่งแดดเมืองไทยด้วยแล้ว ไม่พอแน่นอน ถ้าใครยังไม่แน่ใจก็ลองซื้อขนาดทดลองมาใช้ก่อนก็ได้ ราคาถูกกว่าครึ่งค่ะ อยู่ที่ US$14 เท่านั้น

มีใครใช้แล้วบ้างมั้ยคะ ใช้ดีมั้ย มาแชร์ประสบการณ์ได้นะคะ :)

Purchase

US$34 at SephoraBeauty.comUrban Decay

At Urban Decay counters

Tags from the story
, , ,
Leave a comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *